ถ้ามีเวลาสัก 1-2 วันแล้วต้องการหลีกหนีจากความอึดอัดภายในเมืองหลวงอย่างไทเป การได้ออกมาสัมผัสธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของเมืองฮัวเหลียน (Hualien) ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย

ไม่ว่าเพื่อน ๆ จะมาพักในเมืองฮัวเหลียนสักคืน หรือนั่งรถไฟ TRA (Taiwan Railways Administration) ไปเช้ากลับค่ำ ก็สามารถมาพบกับธรรมชาติที่สวยงามนี้ได้ง่าย ๆ

หลังจากลงรถไฟ เพื่อน ๆ อาจจะเลือกนั่งรถบัสท่องเที่ยวของไต้หวันซึ่งมีรถมาจอดรออยู่ที่หน้าสถานีรถไฟฮัวเหลียนไปลงสถานที่เที่ยวต่าง ๆ  หรือซื้อวันเดย์ทัวร์ไปเที่ยวเพื่อความสะดวกสบายและประหยัดเวลา

สำหรับวันนี้เราลองเลือกใช้บริการวันเดย์ทัวร์ทาโรโกะของ KKday ค่ะ ซึ่งในทริปนี้เราจะได้ไปพบกับ

〈〈〈หาดชีซิง〉〉〉

หาดหินโค้งครึ่งวงกลมที่มาพร้อมกับทะเลสีฟ้าใส

〈〈〈หน้าผาชิงสุ่ย〉〉〉

หน้าผาริมชายฝั่งที่สูงที่สุดในไต้หวัน

〈〈〈อุทยานแห่งชาติทาโรโกะ〉〉〉

อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวัน

 

9 โมงเช้าวันออกทริป รถตู้มาจอดหน้าประตูโรงแรม คุณโทนี่ไกด์ท้องถิ่นพร้อมคนขับรถมารับเราตามนัดหมายที่โรงแรมที่เราพักในเมืองฮัวเหลียน หลังจากนั้นก็ไปรับเพื่อนร่วมทริปทั้งคนไทยและคนต่างชาติอีก 5 คนที่สถานีรถไฟฮัวเหลียน แล้วพากันออกเดินทางไปจุดหมายแรกกัน โอ๊ะ! ตื่นเต้นจัง! จะได้ไปเจอไฮไลท์ที่เที่ยวเด็ด ๆ ทั้งนั้น

 

หาดชีซิง (七星潭)

ขับรถเพียงแค่ 15 นาทีจากตัวเมืองฮัวเหลียน คุณโทนี่ก็พาเรามาดูน้ำทะเลสีฟ้านวลใส สีแปลกกว่าน้ำทะเลบ้านเราแฮะ ชายหาดเต็มไปด้วยหินก้อนมนสีเทาดำหลากไซส์ ที่นี่ผู้คนนิยมมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ดูดาว หรือบางคนอาจจะมานั่งปิกนิกชมวิวมหาสมุทรแปซิฟิก ที่นี่มักมีคลื่นทะเลที่แรงอยู่เสมอ และลงเล่นน้ำทะเลไม่ได้นะคะ เนื่องจากพื้นที่ใต้น้ำทะเลเป็นเหวลึกลงไป

ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนอยากได้บรรยากาศชมวิวระหว่างทางแบบใกล้ชิดล่ะก็สามารถเช่ารถจักรยานจากในเมืองปั่นมาถึงหาดชีซิงได้เช่นกันค่ะ

หลังจากนั้นก็ไปต่อยังจุดหมายที่สอง…(ระหว่างทางห้ามหลับนะคะ วิวข้างทางนี่สวยไม่เบาเลยทีเดียว)

 

หน้าผาชิงสุ่ย (清水斷)

จุดชมวิวริมมหาสมุทรแปซิฟิกริมหน้าผาที่มีความสูงที่สุดในไต้หวัน สูงถึง 2,408 เมตรจากระดับน้ำทะเล

การเดินทางไปยังหน้าผาชิงสุ่ยแห่งนี้จะต้องผ่านซูฮวาไฮเวย์ (Suhua highway) ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองอี๋หลาน (Yilan) และฮัวเหลียนเข้าด้วยกัน ถนนเส้นนี้ถือได้ว่าเป็นถนนที่อันตรายที่สุดในไต้หวัน แต่ก็มีความสวยงามมาก

นักท่องเที่ยวนิยมใช้เป็นจุดแวะพัก มองไปด้านหนึ่งจะเห็นคลื่นทะเลสีฟ้าที่มากระทบหน้าผา อีกด้านจะเห็นวิวเขาสูงชันพร้อมหมอกลอยละเลียดทิวเขา

มีเวลาให้เดินชมวิวจนเต็มอิ่มก็ขึ้นรถต่อ ฟังคุณโทนี่เล่าเรื่องเมืองฮัวเหลียนเพลิน ๆ แป๊บเดียวก็มาถึงอุทยานแห่งชาติที่เค้าว่าสวยมาก ๆ เพราะเต็มไปด้วยหินอ่อนทั้งอุทยาน  นั่นก็คือ…

 

อุทยานแห่งชาติทาโรโกะ (太魯閣國家公)

ทาโรโกะ หรือไท่ลู่เก๋อ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีความใหญ่โตเป็นอันดับที่ 2 ของไต้หวันมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 3 เมืองได้แก่ ฮวาเหลียน ไถจง และหนานโถว ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นช่องแคบระหว่างภูเขาหินอ่อนที่เกิดจากการตกตะกอนหลายล้านปีในท้องทะเล แล้วถูกดันขึ้นมาเหนือระดับน้ำทะเล โดยมีแม่น้ำลี่อู้เป็นช่างแกะสลักตามธรรมชาติทำให้เกิดการกัดกร่อนเป็นโกรกธารอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ในอุทยานแห่งนี้นอกจากมีเรื่องราวความเป็นมาของความสวยงามแห่งธรรมชาติแล้ว เพื่อน ๆ จะได้พบกับประวัติศาสตร์หลายอย่างที่อาจทำให้ต้องเสียน้ำตาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวการฆ่าสังหารหมู่พวกชนพื้นเมืองที่เคยอยู่อาศัยบริเวณทาโรโกะโดยทหารญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. 2457 หรือการเสียชีวิตของผู้ที่ก่อสร้างถนนเส้นนี้

จุดแลนด์มาร์กที่สำคัญซึ่งเราได้แวะภายในอุทยาน ได้แก่

ซุ้มประตูทาโรโกะ (Taroko archway) ซุ้มประตูแบบจีนที่บ่งบอกว่าเราได้มาถึงทาโรโกะอย่างเป็นทางการแล้ว

อุโมงค์จิ่วชวีต้ง (Tunnel of nine turns) ก่อนเดินเข้าอุโมงค์ คุณโทนี่จะไปเช่าหมวกนิรภัยให้เราใส่ก่อนนะคะเพื่อความปลอดภัย จุดนี้จะเป็นทางเดินริมหน้าผาระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร บางช่วงเหมือนเดินเข้าถ้ำ ด้านหนึ่งเป็นถนนสำหรับรถผ่าน (อย่าถ่ายรูปเพลิน ดูรถกันด้วยนะคะ) อีกด้านเป็นหน้าผาหินอ่อนโชว์ลวดลายสีสันแปลกตา

อุโมงค์เยี่ยนจึโข่ว (Swallow grotto) ช่องแคบที่เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำลี่อู้ มีโพรงที่นกนางแอ่นมาทำรังจนเป็นที่มาของชื่อบริเวณนี้

ปู้โหล่ววาน (Puloh Wan) เป็นจุดที่เรามาแวะพักรับประทานอาหารกลางวันกัน ลักษณะเป็นร้านอาหารสไตล์ชนพื้นเมือง ซึ่งวันนี้เราเลือกแพ็กเกจที่รวมอาหารกลางวันด้วย จะมีเมนูอาหารมาให้เราเลือก และมีเครื่องดื่มร้อนเย็นหลายชนิดให้เลือกดื่มกันฟรี (ขอบอกว่า ตอนดูเมนูก็กลัวว่าจะกินไม่อิ่ม แต่พอยกมาเสิร์ฟนี่ตกใจเลยข้าวผัดจานใหญ่มาก มีเครื่องเคียง และซุปถ้วยใหญ่มาให้ด้วย ซุปก็ไม่ใช่น้ำซุปเฉย ๆ นะคะ มีทั้งผัก ทั้งเนื้อสัตว์เพียบ) หลังจากนั้นก็พากันเดินลงชมธรรมชาติ และเข้าจะเข้าชมภาพยนตร์สั้น แต่น่าเสียดายที่วันที่เราไปเค้าปิดพอดี

ศาลเจ้าฉางชุน (Eternal Spring Shrine) ศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตระหว่างการก่อสร้างถนนไฮเวย์เส้นแรกที่เชื่อมระหว่างภาคตะวันออกและภาคตะวันตกจำนวน 226 คน ซึ่งถนนสายนี้สร้างมาจากเลือด เหงื่อ และน้ำตา เนื่องจากการสร้างถนนในตอนนั้นยังไม่ได้มีเทคโนโลยีชั้นสูงใด ๆ มาช่วย ต้องใช้แรงงานคนในการสร้างล้วน ๆ  ฟังแล้วก็รู้สึกจุกที่ลำคอ ภาพที่เราเคยเห็นในอินเตอร์เน็ตมีที่มาที่ไปที่น่าเศร้าถึงเพียงนี้เลยหรอ

สะพานสิงโต 100 ตัว (Bridge of 100 lions) ตามราวสะพานจะมีสิงโตหินอ่อนแกะสลักในอิริยาบถที่แตกต่างกันถึง 100 ตัว น่ารักมาก ๆ ค่ะ

ทางเดินซาคาตัง (Shakadang Trail) ทางเดินผ่านช่องที่เจาะภูเขาตัดผ่านหมู่บ้านชนพื้นเมืองเลียบริมน้ำสีใสแจ๋ว ถ้าโชคดีอาจได้เจอฝูงลิงกำลังเล่นกันอยู่บนต้นไม้ ตรงจุดพักขายของจะมีร้านไส้กรอกย่างสูตรเฉพาะของที่นี่  หอมอร่อยมากจนห้ามพลาดเด็ดขาดเลยล่ะค่ะ

แล้วเราก็จบโปรแกรมการมาเก็บไฮไลท์ของฮัวเหลียนใน 1 วันกันที่ทางเดินซาคาตังนี้  คุณโทนี่พาคนอื่น ๆ ไปส่งที่สถานีรถไฟฮัวเหลียน ส่วนเราขอให้คุณโทนี่ไปส่งที่ตลาดกลางคืนตงต้าเหมิน (東大門夜市) ซึ่งมีของอร่อยมากมายไม่แพ้ตลาดในเมืองไทเป

ความพิเศษของวันนี้นอกจากความงดงามของธรรมชาติแล้วเรายังได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากไกด์ท้องถิ่นซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ในเมืองฮัวเหลียน ได้ฟังเรื่องเล่าที่น่าสนใจมากมาย ทำให้รู้สึกถึงความรักในบ้านเกิด และตัวตนของคนฮัวเหลียนอย่างเต็มเปี่ยม ที่สำคัญอีกอย่างคือ คุณโทนี่พยายามมาช่วยถ่ายรูปให้เราตลอด เพราะเห็นว่าเราไปเที่ยวคนเดียว นับได้ว่าเป็นอีก 1 วันที่น่าประทับใจในการมาเที่ยวไต้หวันในครั้งนี้เลยค่ะ