หลังกลับมาจากไต้หวัน ก็มีเวลาส่งการบ้านให้หลายๆ คนที่กำลังจะไปเที่ยวได้อ่านไว้เป็นข้อมูลสักที ก่อนอื่นขอบอกว่า การไปเที่ยววันนี้ เนื่องจากแต่ละสถานที่อยู่ห่างไกลกันมาก ถ้าไปเองค่อนข้างจะหนักหนาสาหัสเลยทีเดียว และเวลาเพียง 1 วันคงจะเก็บไม่หมด เราจึงตัดสินใจใช้บริการรถนำเที่ยวของ KKday ที่มีทั้งแบบ Join tour (ไกด์ไทย) และ Private (ไกด์ไต้หวัน ใช้ภาษาอังกฤษได้) ด้วยความที่เป็นคนชอบความเป็นส่วนตัว กินช้า เดินช้า ซื้อของก็ช้าอีก เราจึงเลือกใช้บริการแบบ Private ราคา 3,802 บาท ( 8 ชั่วโมง) ว่าแล้วก็ตามเราไปเที่ยวไต้หวันกันดีกว่า ฟิ้ว….

แสงแรกในไต้หวัน ท่ามกลางสภาพอากาศแปรเปลี่ยนตั้งแต่วันแรกที่มาเยือน… 

 

วันที่ 6 พ.ย. 2017 

ก่อนเดินทาง 1 วัน จะได้รับอีเมลติดต่อจากทาง kkday แจ้งรายชื่อไกด์ ทะเบียนรถและไลน์ของไกด์ให้เราได้ติดต่อ ซึ่งเราได้ไกด์ชื่อ Jason พูดภาษาอังกฤษได้ อันนี้ไม่ต้องห่วง แต่ถ้าใครพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แนะนำให้เปิดอากู๋ (Google) ช่วยแปลได้เลย เขาพอเข้าใจ เพราะลองใช้มาหลายรอบแล้ว เรานัดกับ Jason ให้มารับ 9.00 น. หน้าโรงแรม Tomorrow ย่านซีเหมินติง (ximending) ตอนแรกกะนัด 8.30 น.เพราะคิดว่าตอนเช้าคนน่าจะไม่เยอะ จะได้เดินซื้อของสะดวกๆ แต่ไกด์ Jason บอกว่าถึงไปก็เดินไม่ได้อยู่ดี เพราะร้านค้ายังไม่เปิด จะเสียเวลาเที่ยวของลูกค้าเปล่าๆ ออกเดินทาง 9.00 กำลังดี เราก็โอเค เชื่อไกด์ เพราะไม่เคยไปเหมือนกัน

เอกสารที่ทาง kkday ส่งมา หน้าตาจะประมาณนี้ วันนัดพบก็ยื่นเจ้านี่ทางโทรศัพท์ให้เขาดูได้เลย

 

วันที่ 7 พ.ย. 2017

ถึงวันเดินทาง ตื่นมาพร้อมกับฝนตกปรอยๆ (ฮือๆ อุตส่าห์เลือกเดินทางปลายปี คิดว่าอากาศจะดีขึ้นซะอีก  สุดท้ายเจอมรสุมจนได้) เรากินอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จก็ออกมารอไกด์ Jason อยู่หน้าโรงแรม ซึ่งเขาก็มาตรงเวลาเป๊ะ หลังจากนั้น ก็ออกเดินทางไปจิ่วเฟิ่น (Jiufen) ระหว่างทางไกด์ Jason จะอธิบายว่า จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงและเปิดวิดีโอแนะนำร้านค้าและสถานที่ต่างๆ ของจิ่วเฟิ่นให้เราดูไปพลางๆ พร้อมอธิบายบ้างเล็กน้อย

ไกด์ Jason กำลังอธิบายสถานที่ท่องเที่ยวจิ่วเฟิ่น

เผลอแป๊บเดียวถึงจิ่วเฟิ่นตอน 10.00 ตามที่บอกเป๊ะๆ ก่อนลงรถไกด์ Jason จะบอกกับเราว่ามีเวลาให้ 1 ชั่วโมง 30 นาที หลังจากนั้นก็จะมารับเราที่เดิม แต่ด้วยความที่เราเดินช้า กินช้า เลยขอต่อเวลาเป็น 2 ชั่วโมง  เขาก็โอเค อิอิ

รูปทางขึ้นไปจิ่วเฟิ่นและที่จอดรถรับ – ส่ง / รถประจำทาง

พอเข้ามาในจิ่วเฟิ่นเท่านั้นแหละ เข้าใจเลยว่าทำไมไกด์ Jason บอกให้ออกมาสายๆ เพราะขนาดมาถึง 10.00 น. ร้านค้าหลายๆ ร้านยังไม่เปิด ส่วนร้านไหนที่เปิด ของก็ยังไม่ตั้ง ร้านขายก๋วยเตี๋ยวยังตั้งโต๊ะไม่เสร็จเลย เราเลยเดินเล่นชมบรรยากาศไปพลางๆ และไม่ลืมที่จะถ่ายรูปคู่กับร้าน A MEI TEA HOUSE ร้านน้ำชาชื่อดัง กับทางขึ้นตามรอย Spirited Away ในตำนาน ซึ่งกว่าจะเดินหาเจอ เราเดินหลงอยู่ตั้งนาน แต่พอถึงแล้วบอกเลยว่า วิวค่อนข้างสวยทีเดียว ส่วนคนต่อแถวรอถ่ายรูปก็เยอะมากเช่นกัน…

วิวสวยงามตามท้องเรื่อง เสียดายไม่มีเวลานั่งดื่มชา  ทางเข้าของร้าน คนเข้าไปจิบชา ชมบรรยากาศกันเยอะมาก ทางขึ้นที่เขาฮิตถ่ายกัน คลาสสิคมากเลยทีเดียว  ไอติมถั่วม้วน อร่อย ไม่หวานมาก คนไทยไปซื้อกันเยอะจนร้านมีป้ายภาษาไทยเพียบเลย  ลูกชิ้นบ้านเขา รสชาติโอเค กินได้ แต่เราชอบของเมืองไทยมากกว่า  หอยตัวใหญ่ อร่อย สะอาด ราคาพอรับได้ ใครชอบทานหอย แนะนำให้ไปตำด่วน   ไข่ต้มใบชา มาไต้หวันทั้งทีต้องไม่พลาด ลองเถอะ รสชาติดี สรรพคุณเพียบ อิ่มท้องด้วย  ปิดท้ายด้วยเจ้านี้ ใครชอบทานขนมปังสอดไส้ แนะนำให้ไปลอง ไส้เยอะ ขนมปังอร่อย ฟินเวอร์ 

หลังจากที่เดินจนทั่ว และซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับแล้ว ก็ปาไปเกือบ 2 ชั่วโมงพอดี ซึ่งไกด์ Jason จะไลน์มาเตือนว่าถึงไหนแล้ว ถ้าใกล้ถึงทางออก ให้บอกเขาด้วยนะ จะได้ขับรถมารับ ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยง คนเริ่มเข้ามาในจิ่วเฟิ่นเยอะมาก ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านค้า ร้านอาหาร เราเลยเดินออกเพื่อขึ้นรถเตรียมไปเที่ยวสถานีต่อไป นั่นคือหมู่บ้านแมวหูต่ง Houtong Cat Village (ทาสแมวทั้งหลาย ห้ามพลาด)

จิ่วเฟิ่นคนเยอะมาก โดยเฉพาะช่วงเที่ยงไปจนถึงค่ำๆ 

ระยะทางจากจิ่วเฟินไปหมู่บ้านแมวหูต่ง (Houtong Cat Village) ไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ถึงแล้ว ก่อนลงรถไกด์ Jason บอกว่ามีเวลา 40 นาทีแล้วเขาจะมารับ เราก็โอเค เพราะเห็นว่าสถานที่นี้ไม่ค่อยกว้างเท่าไร น่าจะเดินเล่นและถ่ายรูปไม่นาน สำหรับใครที่เป็นทาสแมวหรืออยากเที่ยวสถานที่ชิลๆ คนไม่พลุกพล่านมาก อันนี้เป็นอีกที่หนึ่งที่อยากแนะนำ วิวสวย อากาศดี แถมมีแมวมาให้เล่นด้วย แต่เนื่องจากวันที่เดินทางอากาศร้อนมากๆ แถมฝนยังเพิ่งตกเมื่อตอนเช้าอีก เราเลยเจอแมวไม่ค่อยเยอะเท่าไร แต่เห็นในรีวิวบอกว่า ถ้าวันไหนอากาศดีๆ ช่วงเย็นๆ น้องแมวจะออกมาเดินเล่นเยอะ

ตรงทางเข้าจะมีรูปปั้นแมวมายืนต้อนรับอยู่ น่ารักเชียว ><  พื้นที่รอบๆ วิวสวยมาก แถมคนไม่เยอะ ไม่ต้องเดินเบียดเสียดกันด้วย  คนที่นั่นบอกว่า ช่วงเย็นๆ แมวชอบมาเดินเล่นตรงนี้เยอะ  ทางขึ้นไปชมวิวด้านบน แนะนำให้ขึ้นไป เพราะแมวบนนั้นเยอะมากๆ    ทุกๆที่มีแต่ แมว… ทำอะไรนะ มนุษย์ !? สงสัยอากาศร้อน ต้องหลบแดดหน่อย    อะไรเอ่ย…ที่ไม่เข้าพวก ? นอกจากถ่ายรูปกับเจ้าแมวแล้ว มุมถ่ายรูปที่นี้ก็มีให้เลือกอีกเยอะมากๆ 

ก่อนออกจากหมู่บ้านแมว ด้านหน้าขวามือจะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ เป็นร้านน่ารักๆ เปิดเพลงอะไรสักอย่างที่มีแต่คำว่าเมี๊ยวๆๆๆๆทั้งเพลงเลย ฟังเพลินไปอีกแบบ ร้านนี้มีสินค้าเกี่ยวกับแมวให้เลือกเยอะมาก แถมราคาไม่แพงด้วย (ถูกมากๆๆ) ทั้งพวงกุญแจ เสื้อผ้า ถ้วย ชาม ช้อนส้อม เคสมือถือ ถุงนำโชค หูฟัง ขนมหรือแม้กระทั่งถุงพลาสติกใส่ของก็ยังเป็นรูปแมว ฯลฯ แอบเสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายรูป แต่ถ้าใคร มาที่นี่ ลองแวะไปที่ร้านนี้ดู รับรองว่าไม่ผิดหวัง ถูกใจคนรักแมวและคนชอบสินค้าน่ารักๆ แน่นอน

ขอเขาถ่ายมา 1 รูป ขนมรูปร่างหน้าจะประมาณนี้ รสชาติอร่อย ไม่แพง ถูกปากคนไทย เหมาะกับการซื้อเป็นของฝากมากๆ 

จากนั้นก็ขึ้นรถไปสถานีต่อไปกันต่อ ไหนๆ ก็เที่ยวกันมาเยอะแล้ว คราวนี้ไปเก็บแต้มบุญกันบ้าง นั่นคือ วัดกวนตู้ (Guandu Temple) ซึ่งไกด์ Jason ก็จะบอกเวลาในการเดินทางเหมือนเดิม ค่อนข้างไกลเลยทีเดียว เพราะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ สาเหตุที่เราเลือกวัดกวนตู้อยู่ในทริปด้วย เป็นเพราะได้ยินจากหลายๆ คนที่ไปไต้หวันมาว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในตอนเหนือของไต้หวัน สวยงามและศักดิ์สิทธิ์มาก ความที่เราชอบงานประติมากรรมสวยๆ งามๆ เลยไม่พลาดที่จะเอามาไว้ในทริปนี้

และแล้ว…ก็มาถึงวัดกวนตู้ แอบบอกว่าคราวนี้ไกด์นำทางของเรา Jason เขาไม่ได้กำหนดเวลา สงสัยสถานที่ที่เหลือ อยู่ใกล้ๆ กัน เสียเวลาเดินทางไม่มาก เลยให้เราได้เดินชมวัดแบบชิลๆ ไม่เร่งรีบ

บริเวณหน้าวัดกวนตู้  แม้ด้านนอกจะดูเล็ก แต่ด้านในกว้างใหญ่ไพศาลมากๆ  ด้านในสวยงามมากๆ ราวกับอยู่ในอุโมงค์เลย   ประติมากรรมด้านบนก็สวย

ใครที่ไหว้พระขอพรเสร็จ อย่าลืมเดินเข้าไปด้านในชมประติมากรรมเทพเจ้าที่ชาวไต้หวันเขานับถือกัน และเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 เดินตรงไปปลายอุโมงค์จะมองเห็นวิวแม่น้ำตั้นสุ่ย (Tamsui River) ที่สวยงามมาก เป็นอีกสถานที่หนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวสายบุญหรือใครจะแวะมาเก็บแต้มบุญขอพรในช่วงปีใหม่นี้ก็ได้ วัดสงบ คนไม่พลุกพล่าน ร่มรื่น ประติมากรรมสวยงาม เข้าชมได้ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย

ถ้ามาตอนเย็นจะมองเห็นวิวพระอาทิตย์ตก แต่ถ้ามาตอนบ่ายแบบเราก็จะแสบตาหน่อยๆ 

หลังจากเข้าไปกราบไหว้สักการะและเยี่ยมชมวัดกวนตู้กันเสร็จ ก็ขึ้นรถเตรียมไปสะพานคู่รักตั้นสุ่ย (Tamsui Lover’s Bridge) กันต่อ ซึ่งใช้เวลาไม่นานประมาณ 25 นาทีก็ถึงแล้ว เหตุผลที่เราเลือก Tamsui Lover’s Bridge อยู่ในทริปด้วย เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้ๆ กับวัดกวนตู้และมีคนไทยที่เคยไปรีวิวเยอะมากว่า วิวสวย อากาศดี โรแมนติกมาก เหมือนกับอยู่ที่ชายทะเลเลย อ่ะ…ว่าแล้วก็จัดไป

เดินขึ้นสะพานคู่รัก อากาศกำลังดี คนไม่เยอะมาก ใครหาวิวถ่ายรูปสวยๆต้องมาที่นี้เลย  เดินขึ้นไปจะมองเห็นวิวของท่าเรือ  อีกมุมถ่ายรูปฮอตฮิตที่คนต่อคิวเยอะมาก  วิวท่าเรือในยามเย็นก็สวยไปอีกแบบ 

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมถึงเรียกว่า “สะพานคู่รัก” เราลองถามไกด์ Jason เขาบอกว่า สะพานแห่งนี้ เปิดทำการวันแรกคือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันวาเลนไทน์ จึงทำให้มีเหล่าคู่รักมากมายเข้าร่วมงาน ตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับความนิยมจากหนุ่มๆ สาวๆ มาก อีกอย่างหนึ่งคือ มีความเชื่อกันว่า หากคุณข้ามสะพานนี้กับคู่รักของคุณจะมีอันต้องเลิกรากัน ส่วนจะจริงหรือไม่ก็คงต้องรอให้ไปพิสูจน์กันเอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพอไปถึง มีคู่รักมาเดินกันเยอะมาก ไม่รู้ว่าเขากำลังพิสูจน์ความรักที่มีให้กันหรืออยากจะเลิกกับคนข้างๆ กันแน่ ฮ่าาา นักท่องเที่ยวคนไหนสนใจ ไปลองท้าความเชื่อนี้กันได้เลย

ขนาดแมว ยังมาเป็นคู่เลย T^T 

ส่วนกิจกรรมที่นิยมคือ การเดินเล่นชมวิวปากแม่น้ำรับลมทะเลจนถึงเวลาค่ำคืน เพื่อรอชมแสงไฟประดับเปลี่ยนสี (เสียดายที่เราไม่ได้รอชม) และไกด์ Jason ยังบอกกับเราอีกว่า บริเวณนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ได้รับการการันตีจากนิตยสารท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่นอย่าง TRiPORT ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่ไม่ควรพลาด

อากาศดี โรแมนติก วิวสวย สมคำร่ำลือ… 

เสร็จจาก Tamsui Lover’s Bridge ต่อไปก็มาถึงสถานีสุดท้ายนั่นคือ ถนนโบราณตั้นสุ่ย (Tamsui Old Street) เป็นที่ที่เราอยากไปมากๆ หลังจากที่ได้อ่านรีวิว เพราะได้ยินเสียงร่ำลือกันว่า วิวสวย อาหารทะเลสด อร่อย (แม้ราคาจะแอบแพงไปนิด) แถมยังมีของที่ระลึกทั้งเสื้อผ้า ของฝาก กระเป๋า รองเท้าถูกกว่าย่านซีเหมินติงที่เราพักเกือบเท่าตัว งานนี้บอกเลยว่าใครเป็นสายช้อป ชิม ชิล ต้องไม่พลาด

ซึ่งระยะทางจาก Tamsui Lover’s Bridge ถึง Tamsui Old Street อยู่ใกล้กันมาก ใช้เวลาเพียง 5 นาทีก็ถึงแล้ว ก่อนลงรถ เงินค่าให้บริการไม่ต้องจ่ายอีกนะ เพราะเราจ่ายผ่าน kkday ไปแล้ว เราเลยให้ทิปไกด์ Jason ไป 300 NT เพราะเขาบริการค่อนข้างดีทีเดียว ตรงเวลาเป๊ะ แนะนำที่ถ่ายรูปให้ด้วย ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าที่นี่เขามีธรรมเนียมให้ทิปมั้ย เลยสอบถามคนรู้จัก เขาบอกว่าจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ ถ้าอยากให้ก็ประมาณ 100 – 300 NT ไม่เกินนี้ ถ้าใครไปใช้บริการแล้วถูกใจ ให้ความสะดวกดีเยี่ยม ก็ให้ทิปได้ไม่ว่ากัน

มาถึงยามเย็น ฝนตั้งท่าจะตกอีกแล้ว  แต่รับรองว่าวิวสวยมาก อากาศเย็นกำลังดี   เขานิ่งเหมือนรูปปั้นเลย ชอบๆ ใครถูกใจก็สมทบทุนให้เขาก็ได้นะ  ปลาหมึกทอด สด อร่อย แป้งกรอบ เรากินคนเดียวไม่หมด ต้องเก็บไปกินต่อที่โรงแรม  แอบสงสัยว่า คนที่นี้เขาจะชอบทานของทอดนะ ร้านขายของทอดเต็มไปหมดเลย     มะเขือเทศและสตอเบอร์รี่เชื่อมด้วยคาลาเมล ใครอยากลองไปซื้อกันได้ แต่สำหรับเราขอผ่าน เพราะเป็นคนไม่ชอบกินผัก – ผลไม้  เป็นเต้าหู้ทอด แต่อร่อยดี ซอสเผ็ดถึงพริก ถึงขิง 

หลังจากช้อปปิ้งเสร็จ เราก็เดินทางกลับด้วย MRT เป็นอีก 1 วันที่เหนื่อยมาก เพราะต้องเดินขึ้น – ลงเนินที่จิ่วเฟิ่น แต่ก็สนุกมากเช่นกัน ของไม่แพง อาหารพอทานได้ สินค้าน่ารักตามเทรนด์ญี่ปุ่นอยู่หน่อยๆ ส่วนเรื่องการเดินทางก็ไม่แพงมาก อย่างที่บอกไปว่าเราใช้บริการของ kkday ราคา 3,802 บาท (8 ชั่วโมง) จะได้รถนำเที่ยวแบบส่วนตัวที่ถูกกว่าทั่วๆ ไป ซึ่งราคาก็เริ่มที่ 4,000 NT (8 ชั่วโมง) ตีเป็นเงินไทยก็ 4,452  บาท ต่างกันตั้ง 650 บาท แถมเรายังมีคนขับรับ – ส่งทุกสถานที่ ไม่ต้องรอรถรับประจำทางให้เหมื่อย อย่าลืมว่าสถานที่เที่ยวชื่อดังในไต้หวันมีคนใช้บริการรถประจำทางเยอะอยู่แล้ว ช้าหมดอด รอรอบต่อไปแต่ข้อเสียอย่างหนึ่งคือ เขาค่อนข้างจำกัดเวลาในการเดินเที่ยว ถ้าอ่านรีวิวจนจบจะพบว่าไกด์ Jason จะกำหนดเวลาในการเที่ยวตลอด เพื่อให้ทันกำหนดการ 8 ชั่วโมง ทำให้บางสถานที่ที่อยากเดินนานๆ จะต้องเร่งฝีเท้ากันสักหน่อย แต่เรื่องนี้เราก็สามารถบอกเขาได้ว่า ที่นี่ขออยู่นานสักหน่อยนะ แล้วค่อยทำเวลาในสถานที่เที่ยวที่ต่อไป เราก็แก้ปัญหาด้วยวิธีนี้หรือถ้าใครอยากเที่ยวเพิ่มอีกสัก 1 – 2 ชั่วโมง ก็ทำได้เหมือนกัน แต่ต้องจ่ายเพิ่มชั่วโมงละ 400 NT ตามมาตรฐานทั่วไปของรถนำเที่ยวเลย ถือเป็นบริการหนึ่งที่ดีและอยากบอกต่อสำหรับคนที่จะไปไต้หวัน ถ้ายังหารถนำเที่ยวไม่ได้ เราแนะนำใช้ของ kkday ได้เลย

ภาพมุมสุงจากตึก Taipei 101 รอรีวิวได้เลย 

สำหรับใครที่อยากไปญี่ปุ่นหรือเกาหลี แต่งบประมาณยังมีจำกัด เราแนะนำให้มาไต้หวัน เพราะประเทศนี้เหมือนกับเมืองที่มีส่วนผสมระหว่าง จีน (ภาษา – วัฒนธรรม) / ญี่ปุ่น (ระเบียบวินัย ความตรงเวลา) / เกาหลี (แฟชั่น เทรนด์) เข้าไว้ด้วยกัน มาเถอะ…แล้วเราจะหลงรัก ไต้หวัน