ใครคิดถึงการแช่ออนเซ็นที่ญี่ปุ่นบ้าง ถึงแม้ว่ากำลังจะมีข่าวดีเร็ว ๆ นี้กับการที่ญี่ปุ่นกำลังจะกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง แต่ถ้าใครยังไม่อยากเดินทางไกล แล้วก็อยากจะแช่บ่อน้ำพุร้อนให้หายคิดถึงญี่ปุ่นล่ะก็ ที่ไทยเราเองก็มีบ่อน้ำพุร้อนให้ได้แช่ผ่อนคลายอยู่หลายที่เหมือนกัน วันนี้ KKday เลยจะพาไปอาบน้ำแร่แช่ออนเซ็น กับ 7 บ่อน้ำพุร้อนในไทยที่ไปได้เลยไม่ต้องรอญี่ปุ่นเปิดประเทศ! 

น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง

สำหรับที่แรก ขอพาขึ้นเหนือกันก่อน! สำหรับบ่อน้ำพุร้อนที่แรกที่เราอยากแนะนำให้ไปก็คือที่น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง โดยน้ำพุร้อนนี้เป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในบริเวณของอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน มีบ่อน้ำพุร้อนจำนวน 9 บ่อ และมีไอน้ำลอยขึ้นจากบ่อปกคลุมไปทั่วบริเวณ ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นอุทยานแห่งชาติแล้ว บอกเลยว่าบรรยากาศที่นี่ได้คะแนนเต็มสิบ เพราะธรรมชาติที่ห้อมล้อมบ่อน้ำพุร้อนและสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์สวยงามอลังการมาก ยิ่งมาช่วงฤดูหนาวบอกเลยว่าสวยสุด ๆ นอกจากน้ำพุร้อนแล้วยังมีน้ำตกและแอ่งน้ำอุ่นด้วย และกิจกรรมที่ห้ามพลาดก็คือการแช่น้ำแร่เพื่อผ่อนคลาย และการต้มไข่ออนเซ็นนั่นเอง บอกเลยว่าฟินสุด ๆ

พิกัด: Google Maps

น้ำพุร้อนไทรงาม จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน นี่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ไม่ควรพลาด เพราะที่น้ำพุร้อนไทรงามนี้เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติในอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีลักษณะเป็นบ่อกลางแจ้งขนาดใหญ่ น้ำใสสีเขียวมรกต อุณหภูมิอุ่นแบบพอดี ๆ สามารถแช่ตัวเพื่อผ่อนคลายได้ชิล ๆ และที่เป็นไฮไลต์ของที่นี่ก็น่าจะเป็นคือบรรยากาศธรรมชาติสุดร่มรื่นนี่แหละ เพราะแช่น้ำไป ชมธรรมชาติไป เพลินสุด ๆ 

พิกัด: Google Maps

น้ำพุร้อนฝาง จังหวัดเชียงใหม่

ที่อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกมีน้ำพุร้อนกว่า 50 บ่อแฝงตัวอยู่ นั่นก็คือน้ำพุร้อนแม่ฝางนั่นเอง โดยที่นี่เป็นน้ำพุร้อนที่มีทั้งบ่อขนาดเล็กและบ่อขนาดใหญ่อยู่กระจายกันไปบนพื้นที่กว่า 10 ไร่ และมีจุดที่เป็นไฮไลต์คือบ่อที่มีไอน้ำพุ่งขึ้นมาสูงกว่า 50 เมตร หากใครอยากแช่น้ำแร่ แน่นอนว่าที่นี่ก็มีทั้งห้องอาบน้ำแร่ ห้องอบไอน้ำ และบ่อน้ำร้อนไว้ให้เลือกแช่ผ่อนคลายได้ตามใจชอบ หรือใครจะแช่เพื่อผิวพรรณหรือกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตก็แนะนำเลย

พิกัด: Google Maps

น้ำพุร้อนสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 

ยังคงอยู่กันในจังหวัดเชียงใหม่ กับน้ำพุร้อนสันกำแพง ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่มาประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะเจอกับน้ำพุร้อนสันกำแพงที่มีบ่อให้แช่ตัวและแช่เท้า พร้อมกับชมวิวภูเขาสวย ๆ และธรรมชาติสุดร่มรื่น นอกจากนี้ที่นี่ยังมีบริการนวดแผนโบราณด้วยนะ แนะนำว่าถ้าใครไม่รู้จะปิดจบทริปที่ไหน ก็ควรแวะมาพักกายพักใจที่นี่ก่อนกลับ รับรองว่าฟินแน่นอน

พิกัด: Google Maps

น้ำพุร้อนเทพพนม จังหวัดเชียงใหม่

และน้ำพุร้อนในเชียงใหม่ที่สุดท้ายที่เราจะแนะนำกันนั้นก็คือน้ำพุร้อนเทพพนม บ่อน้ำพุร้อนที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติออบหลวง ถ้าใครไปเที่ยวแม่แจ่มแล้วอยากมาแช่ออนเซ็นผ่อนคลายก็อย่าลืมแวะมาที่นี่ เพราะมีทั้งบ่อแช่ออนเซ็นกลางแจ้งท่ามกลางธรรมชาติและแบบแช่ส่วนตัว โดยที่นี่มีบ่อน้ำพุร้อนมากกว่า 15 บ่อ และบางบ่อมีอุณหภูมิสูงถึง 90 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว แนะนำว่าหลังจากแช่น้ำเสร็จ ก็อย่าลืมไปต้มไข่ต่อด้วยล่ะ เพราะบ่อที่อุณหภูมิสูง ๆ มีไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ! 

พิกัด: Google Maps

ธารน้ำร้อนบ่อคลึง จังหวัดราชบุรี

ขับรถจากกรุงเทพฯ เพียง 2 ชั่วโมงก็แช่น้ำร้อนได้แล้ว! เพราะที่ธารน้ำร้อนบ่อคลึง ธารน้ำร้อนเล็ก ๆ จากธรรมชาติเป็นที่ที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด โดยธารน้ำร้อนที่นี่เกิดจากน้ำแร่ที่ไหลซึมจากน้ำใต้ดินผ่านซอกหินของเทือกเขาตะนาวศรี ไหลมาตามลำธารเล็ก ๆ และลงมายังบ่อน้ำร้อนด้านล่าง และมีอุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิกำลังพอดี ไม่ร้อนไม่เย็นจนเกิดไป ที่นี่มี 3 บ่อให้เลือกแช่กัน ทั้งสระดินที่อยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง สระกระเบื้อง มีหลังคาเพิ่มความเป็นส่วนตัวขึ้นมา และสระที่แช่เท้า 

พิกัด: Google Maps

บ่อน้ำร้อนสวนสาธารณะรักษะวาริน จังหวัดระนอง

นอกจากทะเลสวย ๆ แล้ว อีกหนึ่งของดีของจังหวัดระนองก็คือน้ำพุร้อนนี่แหละ และน้ำพุร้อนที่เราอยากแนะนำให้ไปสักครั้งถ้ามีโอกาส ก็คือที่บ่อน้ำร้อนสวนสาธารณะรักษะวาริน อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของจังหวัดระนอง เพราะที่นี่เป็นบ่อน้ำร้อนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินี้ โดยมีบ่อน้ำร้อนธรรมชาติมีอยู่ 3 บ่อ คือบ่อพ่อ บ่อแม่ และบ่อลูกสาว และในบริเวณของบ่อน้ำร้อนสวนสาธารณะรักษะวารินก็เกิดจากการต่อจากบ่อธรรมชาติมาให้ผู้คนมาแช่ตัว แช่เท้าเพื่อผ่อนคลายนี่แหละ แถมที่นี่เข้าฟรีด้วยนะ ใครไปเที่ยวระนองแล้วอยากผ่อนคลาย แนะนำว่าให้แวะไปแช่บ่อน้ำร้อนก่อนกลับ รับรองเลยว่าสบายตัวจริง ๆ 

พิกัด: Google Maps