เชื่อว่าช่วงนี้หลาย ๆ คนน่าจะกำลังสนใจ การไป Work and Travel ที่อเมริกากันอยู่แน่นอน ใครอยากหาประสบการณ์หรืออยากใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศสักครั้ง บอกเลยว่าห้ามพลาด! ถ้าตอนนี้สมัครเข้าร่วมโครงการไปแล้วหรือกำลังจะสมัคร แต่ยังลังเลอยู่ว่าจะไปรัฐไหนดี วันนี้ KKday หาข้อมูลของแต่ละรัฐมาฝาก เผื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจ แล้วรัฐที่เราชอบ จะเป็นรัฐที่ใช่สำหรับการไป Work and Travel หรือเปล่า มาดูกัน!

รัฐเนวาดา (Nevada)

สำหรับคนที่รักแสงสีและความบันเทิง หรือกำลังสนใจรัฐที่ตั้งอยู่ทางตะวัน หรือ West Coast ของอเมริกา เนวาดา น่าจะตอบโจทย์กับคุณมากที่สุด เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมความบันเทิงและการเสี่ยงโชคอันโด่งดัง อย่าง ลาสเวกัส (Las Vegas) เมืองยอดนิยมแห่งการวัดดวง ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้แวะเวียนกันมาอย่างไม่ขาดสาย แต่เสน่ห์ของเนวาดา ไม่ได้มีแต่เพียงการท่องราตรีหรือแสงสีเพียงเท่านั้น!

ที่เมืองเรโน (Reno) เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย ยังมีกิจกรรมเอาท์ดอร์สนุก ๆ ให้ได้ทำ อย่าง การเล่นสกี เดินสำรวจธรรมชาติ ปีนเขา ว่ายน้ำ และล่องเรือ ขอบอกเลยว่าธรรมชาติในเนวาดาสวยไม่แพ้ที่ไหนแน่นอน โดยเฉพาะกับแลนด์มาร์กสำคัญ ๆ ที่แนะนำว่าห้ามพลาด อย่าง ทะเลสาบทาโฮ (Lake Tahoe) ทะเลสาบมี้ด (Lake Mead) หุบเขาแห่งไฟ (Valley of Fire State Park) เขตอนุรักษ์แห่งชาติเรดร็อคแคนยอน (Red Rock Canyon National Conservation Area)

สำหรับการไป Work and Travel แนะนำว่าควรใช้สภาพอากาศเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกรัฐด้วย สำหรับสภาพอากาศที่เนวาดา ในฤดูร้อนก็จะร้อน แห้งแล้ง ท้องฟ้าแจ่มใส ส่วนฤดูหนาวก็จะตรงกันข้ามมาก ๆ เพราะหนาวจัดและมีหิมะตก โดยอุณหภูมิจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ – 5°C ถึง 32°C โดยช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการท่องเที่ยวก็คือช่วงปลายมิถุนายนถึงปลายเดือนสิงหาคมนั่นเอง

รัฐแคลิฟอร์เนีย (California)

ยังคงอยู่กับรัฐทางตะวันตกของอเมริกา อย่าง แคลิฟอร์เนีย นั่นเอง ที่นี่น่าจะเป็นเมืองติดทะเลในฝันของใครหลายคน เพราะด้วยบรรยากาศและธรรมชาติที่สวยงาม จึงกลายเป็นอีกหนึ่งเมืองที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกใฝ่ฝันอยากมาเยือนและมาพักผ่อนให้ได้สักครั้งในชีวิต โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เราน่าจะคุ้นหูกันดี อย่าง สะพานโกลเดนเกต (Golden Gate Bridge) เกาะอัลคาทราซ (Alcatraz Island) ถนนลอมบาร์ด (Lombard Street) อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) อุทยานแห่งชาติเดธ วัลเลย์ (Death Valley National Park) น้ำตกแม็คเวย์ (McWay Falls) และสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ (Disneyland L.A California) แถมยังเป็นที่ตั้งของ Hollywood แหล่งผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมบันเทิง และย่านที่อยู่อาศัยของบรรดาซูเปอร์สตาร์ระดับโลกในย่าน Beverly Hills อีกด้วย

หากจะให้พูดถึงเสน่ห์ของแคลิฟอร์เนียคงต้องบอกว่าที่นี่เป็นรัฐที่มีความหลากหลาย ทั้งทางด้านวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวที่มีทั้งย่านสุดหรูหรา สถาปัตยกรรมสุดอลังการ และธรรมชาติที่สวยงามตระการตา แถมยังมีกิจกรรมให้ทำมากมาย

สำหรับอากาศที่นี่จะเย็นสบายตลอดทั้งปี ในฤดูร้อนมีลักษณะ อุ่น แห้งแล้ง และมีฤดูหนาวที่ยาวนาน อุณหภูมิจะอยู่ที่ 9°C ถึง 29°C และช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการท่องเที่ยวคือช่วงตั้งแต่ปลายพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม

รัฐเท็กซัส (Texas)

สำหรับคนที่ไม่ชอบอากาศหนาวจัด และชอบผจญภัยในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่หลากหลาย เท็กซัสน่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ โดยเท็กซัสเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอเมริกา มีประชากรกว่า 29 ล้านคน และมีเศรษฐกิจที่มั่งคั่งจากอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียม

หากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวของเท็กซัส หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าเท็กซัสมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะมาก อย่าง สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติค่อนข้างหลากหลาย ทั้งภูเขา ชายหาด ทะเลทราย ทะเลสาบ อุทยาน แคนยอน โดยมีแลนด์มาร์กที่ห้ามพลาด คือ อุทยานแห่งชาติบิ๊กเบน (Big Bend National Park) เกาะปาเดร (Padre Island) ทะเลสาบคัดโด (Caddo Lake) อุทยานแห่งชาติ Palo Duro Canyon อุทยาน Big Thicket National Preserve และอุทยานแห่งชาติ Guadalupe Mountains นอกจากนี้ยังมี ย่านประวัติศาสตร์ของคาวบอย Fort Worth Stockyards และพิพิธภัณฑ์ศิลปะดัลลัส (Dallas Museum of Art) ที่น่าไปเยี่ยมเยือนอีกด้วย

สำหรับสภาพอากาศในเท็กซัส ฤดูร้อนค่อนข้างร้อนยาวนาน และไม่มีลม ฤดูหนาวค่อนข้างสั้น เย็น และลมแรง โดยทั่วไปอุณหภูมิจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 9°C ถึง 32°C ส่วนช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ควรไปเที่ยวเท็กซัสคือตั้งแต่ช่วงปลายมีนาคมถึงกลางเดือนพฤษภาคม และช่วงต้นตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนนั่นเอง

รัฐฟลอริดา (Florida)

ที่นี่น่าจะเป็นรัฐในฝันของคนรักชายหาดสวย ๆ สวนสนุกระดับโลก และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อย่าง วอลต์ดิสนีย์เวิลด์ (Walt Disney World)ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ออร์แลนโด (Universal Studio Orlando) อุทยานแห่งชาติเอเวอร์เกลดส์ (Everglades National Park) ซีเวิลด์ ออร์แลนโด (SeaWorld Orlando) ศูนย์อวกาศเคนเนดี (Kennedy Space Center) อุทยานแห่งชาติตอร์ตูกัส (Dry Tortugas) เกาะอะมีเลีย (Amelia Island
) นอกจากนี้ฟลอริดา มีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมาก ทำให้ที่นี่กลายเป็นที่ตั้งของบริษัทและอุตสาหกรรมระดับโลก อย่างอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การเกษตร เทคโนโลยีอวกาศ

สำหรับสภาพอากาศของฟลอริดา ฤดูร้อนจะคล้ายกันกับประเทศไทย ฤดูหนาวไม่ยาวนานนักอุณหภูมิจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 19°C ถึง 30°C ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปเที่ยวฟลอริดาคือตั้งแต่ช่วงต้นมิถุนายนถึงกลางเดือนกันยายน