ไม่มีเมืองใดในโลกเหมือนกับมหานครนิวยอร์ก ชื่อของเมืองอื่น ๆ ในโลกไม่ได้ถูกนำไปแต่งเพลงดังเช่นนิวยอร์ก ยังมีภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์อีกนับไม่ถ้วนที่มีฉากของมหานครแห่งนี้ ลองนึกดูว่าคุณเคยเห็นไทม์สแควร์หรือตึกเอ็มไพร์สเตตผ่านตาบนจอยักษ์มากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมใคร ๆ ต่างก็อยากไปเที่ยวที่มหานครแห่งนี้ ก่อนก้าวเท้าเข้าสู่นิวยอร์ก แนะนำว่าควรหาข้อมูลคร่าว ๆ ก่อน หากอยากรู้พิกัดแล้ว อย่ารอช้าไปลุยกันเลย! 

เมื่อเดินทางถึงนิวยอร์ก

มีสนามบินหลัก 3 แห่งในนิวยอร์ก ได้แก่ สนามบินลากวาร์เดีย (LGA) สนามบินจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) และสนามบินนูอาร์ก ลิเบอร์ตี (EWR) โดยส่วนมากเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินหลัก มักจะลงจอดที่สนามบินจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) เว้นแต่จะเดินทางกับสายการบิน United หรือ Delta โดยมีเที่ยวบินมาจากสิงคโปร์มักจะลงจอดที่สนามบินจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) หรือ สนามบินนูอาร์ก ลิเบอร์ตี (EWR) การเดินทางจากสนามบินทั้ง 3 สนามบินนั้นคล้ายกัน และเดินทางได้แบบไม่ยุ่งยากอย่างแน่นอน

ขนส่งสาธารณะ

มีหลากหลายวิธีที่เดินทางจากสนามบินไปยังที่พักของคุณ สมมติว่าคุณตัดสินใจที่จะพักอยู่ในแมนฮัตตัน สนามบินลากวาร์เดีย (LGA) จะเป็นสนามบินที่อยู่ใกล้ที่สุด รองลงมาคือสนามบินจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) ตามด้วยสนามบินนูอาร์ก ลิเบอร์ตี (EWR) โดยวิธีที่ถูกที่สุดในการเดินทางจากสนามบินทั้ง 3 แห่ง จะต้องใช้ระบบขนส่งสาธารณะ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 490 บาท ($13) จาก สนามบินจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) และสนามบินนูอาร์ก ลิเบอร์ตี (EWR) ไปยังแมนฮัตตัน และเพียง 208 บาท ($5.50) จากสนามบินลากวาร์เดีย (LGA) แต่ข้อเสียคือคุณจะต้องลากกระเป๋าเดินทางไปยังรถไฟใต้ดินสุดพลุกพล่าน และเดินต่อไปยังที่พัก ตัวเลือกนี้จึงเหมาะที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางคนเดียวและมีงบประมาณจำกัด

แท็กซี่

อีกสิ่งหนึ่งคือรถแท็กซี่ แม้ว่าจะเป็นส่วนตัวและสะดวกสบาย แต่ราคาจะเริ่มต้นที่ 1,900 บาท ($50) ต่อรถยนต์หนึ่งคัน และอาจสูงถึง 3,800 บาท ($100) ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสนามบิน แถมยังมีค่าผ่านทาง ค่าทิป และค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ซึ่งอาจเริ่มต้นได้ตั้งแต่ 378 – 1,900 บาท ($10-50) นี่คือค่าใช้จ่ายราคาแพงที่ใคร ๆ ก็พูดถึงการเที่ยวในนิวยอร์ก

รถรับส่งสนามบิน

วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทางเข้าเมือง สำหรับคนที่มาเที่ยวกับเพื่อนหรือครอบครัวคือการใช้บริการรถรับส่งสนามบิน สำหรับบริษัทที่ให้บริการรถรับส่งคือ Go Airlink Airport Shuttles โดยคุณสามารถจองออนไลน์ได้ในขณะที่วางแผนการเดินทาง และเมื่อคุณให้รายละเอียดเที่ยวบินของคุณไปตอนจอง ทางบริษัทรถรับส่งจะระมัดระวังเรื่องความล่าช้า ยิ่งไปกว่านั้นหากคุณเดินทางเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ 3, 5, 10 หรือ 13 คน คุณจะได้นั่งรถรับส่งแบบส่วนตัว แน่นอนว่ายิ่งกลุ่มใหญ่ ค่าใช้จ่ายต่อคนยิ่งลดลง และถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ คุณสามารถจองรถรับส่งไปยังตัวเมืองได้ในราคาประมาณ 756 บาท ($20) ต่อคน ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีสามารถนั่งกับผู้ใหญ่ได้ฟรี จะมีแค่ค่าใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวต่อคนประมาณ 1,700 บาท ($45) โดยราคานี้รวมค่าผ่านทางและภาษีแล้ว

  • จองรถรับส่งส่วนตัวจากสนามบินลากัวร์เดีย (LGA) ถึงเมืองนิวยอร์ก พร้อมบริการต้อนรับ ผ่าน KKday ได้ที่นี่

เที่ยวในนิวยอร์ก

วิธีเดินทางที่ดีที่สุดในนิวยอร์กคือการใช้รถไฟใต้ดิน บางสถานที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าคุณควรลองขึ้นรถประจำทางหรือรถไฟ เพราะจะมีอะไรจะดีไปกว่าการเยี่ยมชมนิวยอร์กในแบบฉบับคนนิวยอร์กแท้ ๆ เราแนะนำให้คุณดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MyMTA เพราะแอปนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับค่าโดยสาร ตารางเวลา และช่วยวางแผนการเดินทาง โดยระบบของรถไฟใต้ดินใช้ระบบ OMNY ซึ่งเป็นระบบบัตรเครดิตแตะแล้วตัดเงินค่าโดยสารไป และ MetroCard ซึ่งเป็นบัตรที่ซื้อเที่ยวเดินทาง สำหรับ MetroCard จะใช้งานได้ง่ายกว่า เพราะไม่ต้องวุ่นวายกับอัตราแลกเปลี่ยน หากครอบครัวไหนมีเด็กความสูงน้อยกว่า 111.7 เซนติเมตร สามารถโดยสารได้ฟรี

บัตรโดยสาร Unlimited MetroCard

สำหรับบัตรโดยสารประเภทนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนเที่ยวการเดินทางของคุณ คุณจะต้องเลือกระหว่างแบบ 7 วัน หรือ 13 วัน ที่จะเดินทางแบบไม่จำกัดเที่ยว หรือแบบหักเงินตามจำนวนครั้งที่ใช้เดินทาง สำหรับ Unlimited MetroCard จะช่วยให้คุณเดินทางได้ไม่จำกัดในระยะเวลาที่ซื้อ เช่น เดินทางได้ไม่จำกัด 7 วัน มีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,247 บาท ($33) ซึ่งหมายความว่าหากคุณเดินทางมากกว่า 12 เที่ยวในช่วง7 วันนั้น ทุกเที่ยวการเดินทางหลังจากนั้นจะได้เดินทางฟรี คนที่สูงกว่า 111.76 เซนติเมตรจะต้องซื้อบัตรเป็นของตัวเอง

บัตรโดยสาร Pay-per-ride MetroCard

หรือคุณอาจใช้บัตรโดยสารแบบ Pay-per-ride MetroCard หากคุณเดินทางแบบกลุ่มเล็ก ๆ ใช้การเดินหรือนั่งแท็กซี่เป็นส่วนใหญ่ แบบ Pay-per-ride อนุญาตให้คุณชำระเงินค่าโดยสารสำหรับผู้โดยสารสูงสุด 4 คนติดต่อกันที่สถานีเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าหากครอบครัวมี 4 คน สามารถใช้บัตรโดยสารใบเดียวกันได้ โดยให้รูด 4 ครั้งสำหรับการเดินทางแต่ละครั้ง ราคาจะอยู่ที่ 104 บาท ($2.75) ต่อเที่ยว ดังนั้นถ้าเดินทางสำหรับครอบครัว 4 คนควรมีเงินอย่างน้อย 832 บาท ($22) ในบัตร เพื่อให้แน่ใจว่ามีเงินเพียงพอสำหรับการเดินทางขาไปและกลับ

เขตปกครองในนิวยอร์ก

มหานครนิวยอร์กมีทั้งหมด 5 โบโรฮ์หรือเขตปกครอง เมื่อคุณมาเที่ยวที่นี่ คุณควรรวมที่เที่ยวในแแต่ละเขตไว้ แล้วคุณจะพบว่าทุกเขต ล้วนเป็นเขตที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันและมีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง แม้ว่าคุณอาจไม่มีเวลามากพอในการสัมผัสกับเมืองที่มีความหลากหลายในหลายแง่มุม แต่การเดินทางไปท่องเที่ยวแต่ละเขตในช่วงเวลาสั้น ๆ จะทำให้คุณได้รู้จักกับความมีเอกลักษณ์ของมหานครนิวยอร์กในแบบที่รู้จักกันดีและหลงรักมาตลอด

  • จองบัตร New York Explorer Pass เพื่อชมแลนด์มาร์กชื่อดังมากมาย อย่าง ตึกเอ็มไพร์สเตต (Empire State) และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (Museum of Modern Art) ชมสัญลักษณ์ประจำนิวยอร์กอย่าง รูปปั้นเทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) ได้ที่นี่

แมนฮัตตัน (Manhattan)

เมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในบรรดา 5 โบโรฮ์ เราไม่สามารถพูดว่าถึงนิวยอร์กได้ ถ้าไม่ได้ใช้เวลาในแมนฮัตตัน เยี่ยมชมตึกเอ็มไพร์สเตต (the Empire State Building) ตึกร็อคกี้เฟลเลอร์เซ็นเตอร์ (Rockefeller Center) เซ็นทรัลพาร์ก (Central Park) และนั่งเรือข้ามฟากไปชมเทพีเสรีภาพ (the Statue of Liberty) ทุกแลนด์มาร์กที่พูดไปล้วนตั้งอยู่ที่นี่ แน่นอนว่า จะลืมแลนด์มาร์กสำคัญ อย่าง ไทม์สแควร์ (Time Square) ไปได้อย่างไร สำหรับคนที่หลงใหลในวัฒนธรรมสามารถใช้เวลาช่วงบ่ายที่นี่เพื่อชมละครบรอดเวย์ เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ โซโลมอน อาร์. กุกเกนไฮม์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน พิพิธภัณฑ์ศิลปะอเมริกันวิทนีย์ และพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมาย

และแน่นอนว่าเหล่าบรรดา Fashionistas จะมุ่งหน้าไปยัง Fifth Avenue เพื่อชอปปิ้ง อย่างไรก็ตาม นักชอปที่เชี่ยวชาญจะวางแผนการเดินทางให้ใกล้เคียงกับช่วง Sample Sale หรือไปเดินชอปในย่าน Meatpacking District แต่เกือบทุกย่านในแมนฮัตตันคุณจะได้รับประสบการณ์การชอปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร และย่าน Garment District อาจไม่ใช่แหล่งชอปปิ้งที่คุณมองหาอยู่ 

เซ็นทรัลพาร์กเป็นทั้งสวนสาธารณะ สวนสัตว์ มีม้าหมุน สถานที่ถ่ายทำรายการทีวีและภาพยนตร์ ลานสเก็ตน้ำแข็ง และเป็นที่ตั้งของร้านอาหารชื่อดัง อย่าง Lord Boathouse คุณสามารถใช้เวลาทั้งวันที่นั่นเดินสำรวจสวน และเดินทางไปยัง Greenwich Village หรือ West Village เพื่อรับประทานอาหารมื้อค่ำ ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างควรทำในแมนฮัตตัน แต่แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ทำให้ครบในหนึ่งวัน ดังนั้นอาจใช้เวลา 2-3 วันในการสำรวจที่นี่เพิ่มเติม

บรูคลิน (Brooklyn)

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Maxime Boldo (@emixam_bld)

ที่นี่เป็นแหล่งหลอมรวมวัฒนธรรมมากมาย โดยบรูคลินกลายเป็นเมืองแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่ตีคู่มากับแมนฮัตตัน หากคุณมาเที่ยวนิวยอร์ก คุณจะต้องแวะบรูคลิน เพื่อสัมผัสกับการผสมผสานอย่างลงตัวของธรรมชาติและสถาปัตยกรรมในเมืองบรูคลิน สำหรับคนที่รักธรรมชาติน่าจะชื่นชอบการเดินเล่นในสวนพฤกษศาสตร์บรูคลิน (the Brooklyn Botanical Gardens) ตามด้วยการชมสวนสาธารณะสะพานบรูคลินและสวน Prospect Park ที่เป็นแลนด์มาร์กสุดฮิต

จากนั้นไปชมสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งด้วยการเดินไปตามเส้นทางเดินริมน้ำ Brooklyn Heights Promenade เพื่อชมวิวและท้องฟ้าของนิวยอร์กที่สุดแสนน่าประทับใจ จากนั้นไปต่อที่ Dumbo ย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องทางเดินปูด้วยหิน หากต้องการสถาปัตยกรรมที่สะดุดตามากยิ่งขึ้น ให้ไปที่ Brooklyn tabernacle ที่มีการตกแต่งภายในสุดหรูหราโอ่อ่า และปิดท้ายด้วยสะพานบรูคลินอันเก่าแก่ ซึ่งเป็นสะพานแห่งแรกที่สร้างขึ้นโดยใช้ลวดเหล็ก

ผู้ที่หลงใหลในด้านวัฒนธรรมจะลืมไม่ลงเลย ถ้าได้ดื่มด่ำกับผลงานศิลปะมากมายที่พิพิธภัณฑ์บรูคลิน ห้ามพลาดชมงานศิลปะบนถนน Brunswick Collective ที่มีภาพกราฟฟิตี้สีสันสดใสที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่า 100 บล็อก ใครบอกกันล่ะว่าต้องรวยก่อนถึงจะเพลิดเพลินกับงานศิลปะได้? หรือถ้าไม่ใช่การชมงานศิลปะ ลองแวะไปที่พิพิธภัณฑ์ New York Transit Museum ที่ซึ่งสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของรถไฟใต้ดินนิวยอร์กอันโด่งดังได้

ห้ามพลาดสวนสนุก Coney Island สวนสนุกที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยที่นี่จะเป็นที่ที่สร้างความบันเทิง ความตื่นตื่นตาตื่นใจให้กับคุณ ทั้งโซนสวนสนุกหรือนั่งชิลริมทางเดินริมทะเล ที่ Coney Island จะไม่ทำให้คุณรู้สึกเบื่ออย่างแน่นอน หรือหากคุณต้องการเครื่องดื่มเย็น ๆ ที่ Brooklyn Brewery มีให้บริการคราฟต์เบียร์ที่ดีที่สุดด้วย และจะทำให้การเดินทางไปบรูคลินของคุณครั้งนี้น่าประทับใจยิ่งขึ้นแน่นอน

ควีนส์ (Queens)

สำหรับการเที่ยวชมวัฒนธรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง คุณต้องไปที่ควีนส์ เพราะที่นี่มีพิพิธภัณฑ์มากมาย และคนรักภาพยนตร์หรือโทรทัศน์จะต้องประทับใจกับพิพิธภัณฑ์ Museum of Moving Images อย่างแน่นอน แถมยังมีสถานที่ที่มีการผสมผสานระหว่างศิลปะและธรรมชาติเข้าด้วยกัน และสามารถดึงดูดผู้คนมากมายให้มาเยี่ยมชมได้ อย่าง Socrates Sculpture Park และพิพิธภัณฑ์ Noguchi Museum

แน่นอนว่าไม่สามารถข้าม พิพิธภัณฑ์ศิลปะ MoMA PS1 แหล่งกำเนิดศิลปะร่วมสมัยไปได้ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ Queens ซึ่งเป็นงานฉลองศิลปะท้องถิ่นและศิลปะสมัยใหม่ หากคุณยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มพอ ที่ New York Hall of Science จะทำให้คุณให้รับความรู้และความบันเทิงจากการจัดแสดงแบบอินเทอร์แอคทีฟด้วย ในด้านอีกหนึ่งควีนส์ยังเต็มไปด้วยพื้นที่เปิดโล่งสำหรับทุกคนที่จะได้พักผ่อนหย่อนใจไปกับธรรมชาติ อย่างที่ สวนสาธารณะ Flushing Meadows Corona Park อันโด่งดัง สวนพฤกษศาสตร์ Queens Botanical Gardens และสวน Alley Pond Park 

หรือจะเป็นการเดินทางไปยังสวนสาธารณะ Astoria Park ที่อยู่ใต้สะพานชื่อดัง Triborough เพื่อไปนั่งปิกนิกยามบ่าย หรือจะเป็นสวนสาธารณะ Fort Totten ที่อดีตเคยเป็นฐานทัพทหารที่ตั้งอยู่ริมอ่าว พร้อมปิดท้ายวันในควีนส์ที่ Finback Brewery โรงเบียร์ท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องคราฟต์เบียร์ อะไรจะดีไปกว่านี้สำหรับการปิดจบวัน หลังจากเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ มาล่ะ

เดอะบร็องซ์ (The Bronx)

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Marco De Carne (@travel_agogo)

ก่อนหน้านี้ บร็องซ์ ขึ้นชื่อว่าเป็นเขตที่อันตราย แต่ตอนนี้ไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดของฮิปฮอปและ นักร้อง นักแสดงชื่อดัง อย่าง Jennifer Lopez นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์บร็องซ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก สนามกีฬาแยงกี้ และสวนพฤกษศาสตร์นิวยอร์ก ที่นี่ตรงกันข้ามกับเมืองที่สร้างขึ้นในเขตทางตอนเหนือ เพราะบร็องซ์เต็มไปด้วยสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวชอุ่ม เมื่อได้มาเที่ยวนิวยอร์กทั้งที แนะนำว่า บร็องซ์ ควรอยู่ในแพลนเที่ยวของคุณด้วย

หากต้องการใกล้ชิดธรรมชาติและสัตว์นานาชนิด คุณควรเริ่มต้นด้วยสวนสัตว์บร็องซ์ สวนสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา จากนั้นไปที่สวนพฤกษศาสตร์นิวยอร์กเพื่อชมสวนดอกไม้ที่จัดไว้อย่างสวยงาม ตามด้วยการเยี่ยมชมสวนสาธารณะ Pelham Bay Park ซึ่งใหญ่กว่าเซ็นทรัลพาร์กในแมนฮัตตันถึง 3 เท่า และเป็นที่ตั้งของหาด Orchard Beach และพิพิธภัณฑ์ Bartow-Pell Mansion Museum อีกด้วย

สำหรับพิกัดต่อไปสำหรับการชื่นชมธรรมชาติคือ สวนสาธารณะ Van Cortlandt Park ที่มีทะเลสาบ หุบเขา และป่าไม้ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ Van Cordlandt House อันเก่าแก่ ปิดท้ายด้วยดินแดนมหัศจรรย์อย่าง สวน Wave Hill โดยที่นั่นคุณจะได้เดินเล่นพร้อมเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำฮัดสันและหน้าผาในรัฐนิวเจอร์ซีย์

หากสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบมากกว่า คุณน่าจะตื่นตาตื่นใจกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะบร็องซ์ เพราะที่นี่มีศิลปะร่วมสมัยที่ได้รับอิทธิพลจากท้องถิ่น ไปเยี่ยมชมบ้านของนักเขียนชาวอเมริกัน Edgar Allen Poe เพื่อย้อนเวลาไปดูว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไร หลังจากนั้นแวะเที่ยวตลาดกลางคืนของบร็องซ์ หากคุณมีแพลนมาเที่ยวระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีโอกาสสักครั้งได้มาเยือนนิวยอร์ก อย่าลืมแวะมาเที่ยวที่เดอะบร็องซ์

เกาะสแตเทน (Staten Island)

รู้หรือไม่ว่าเกาะสแตเทนเคยเป็นสถานที่ฝังกลบขยะหลักของนิวยอร์ก แต่โชคดีที่มันไม่ได้ทำหน้าที่นั้นอีกต่อไป ที่นี่ถูกเปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะซึ่งมีขนาดใหญ่เป็น 3 เท่าของเซ็นทรัลพาร์กในแมนฮัตตัน! เกาะสแตเทนมีพื้นที่สวนกว่า 9,300 เอเคอร์ จึงทำให้เป็นเขตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุดในนิวยอร์ก

แน่นอนว่าสถานที่น่าสนใจหลายแห่งของที่นี่ คือสวนสาธารณะ เช่น ศูนย์วัฒนธรรม Snug Harbor และสวนพฤกษศาสตร์ โดยที่นี่มีอาคารและสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกรีก สมัยศตวรรษที่ 19 พิพิธภัณฑ์เด็ก พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย สวนพฤกษศาสตร์ และพิพิธภัณฑ์ Staten Island โดยคุณสามารถใช้เวลาทั้งวันเพื่อสำรวจที่นี่ได้ หรือจะไปเยี่ยมชมสวน Chinese Scholar ซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบจีนแท้ ๆ ท่ามกลางบรรยากาศของสวนเซนอันเงียบสงบ

ผู้ที่คลั่งไคล้เรื่องประวัติศาสตร์จะต้องถูกใจที่นี่ Fort Wadsworth ป้อมทหารที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ จนกระทั่งในปี 1994 ก็ปิดตัวลงและเปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะแทน ที่นี่คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญทางประวัติศาสตร์ พร้อมเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพอันงดงามของแมนฮัตตันและบรูคลิน โดยมีเมือง The Historic Richmond Town ที่จะพาคุณย้อนอดีตกลับไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตในยุคอาณานิคม

สำหรับเรือเฟอร์รี่ของ Staten Island เปิดให้บริการฟรีระหว่างแมนฮัตตันและเกาะ โดยระหว่างการเดินทางนี้ คุณจะได้ชมวิวท้องฟ้าของมหานครนิวยอร์ก เทพีเสรีภาพ เกาะกอฟเวิร์นเนอส์ และเกาะเอลลิสแบบไม่มีอะไรมาบดบัง แม้ว่าคุณอาจจะไม่มีเวลามากนัก แต่คุณก็ไม่ควรพลาดที่จะข้ามฟากมาที่เกาะแห่งนี้ เมื่อมีโอกาสได้มาเที่ยวนิวยอร์ก

อาหารในนิวยอร์ก

เมื่ออยู่ในนิวยอร์ก ก็ต้องกินอาหารอย่างที่ชาวนิวยอร์กกิน และแต่ละเขตก็มีเมนูที่คุณไม่ควรพลาด เพราะที่นิวยอร์กมีร้านอาหาร รถขายอาหาร และตลาดมากมาย ที่นี่จึงสามารถหาเมนูอร่อย ๆ กินได้ทุกเมื่อ และนี่คือเมนูที่คุณต้องลองขณะที่อยู่ในนิวยอร์ก

พิซซ่า

นิวยอร์กมีสิ่งที่ทำได้ดี และพิซซ่าก็เป็นหนึ่งในนั้น มีใครไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับนิวยอร์กพิซซ่าบ้าง? มีร้านพิชซ่าดี ๆ มากมายอยู่ทั่วเมืองแมนฮัตตันและบรูคลิน แต่ลักษณะของพิซซ่าในบรูคลินแตกต่างจากพิซซ่าดั้งเดิมในนิวยอร์ก แต่ทั้งสองแบบหนาและเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและราดด้วยชีสเหมือนกัน แต่แบบนิวยอร์ก คือจะเป็นแบบ Grandma Pie ที่เจอได้ที่เกาะสแตเทน โดยความอร่อยนี้อยู่ที่แป้งพิซซ่าบางกรอบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ราดด้วยชีสและโรยด้วยใบโหระพานั่นเอง

เบเกิล

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Jenny Nichakan (@jenjnyy)

ชาวนิวยอร์กจะเริ่มต้นมื้อแรกของวันด้วยเบเกิลอบสดใหม่ กินคู่กับครีมชีสแบบคลาสสิกและล็อกซ์ แซลมอนหมักไม่รมควัน ถ้าคุณได้ไปเที่ยวที่บรูคลิน คุณจะพบกับเบเกิลสีรุ้งจากร้านดัง จริง ๆ แล้วตัวเบเกิลก็มีรสชาติเหมือนกับเบเกิลปกติทั่วไป แต่มักจะโรยหน้าด้วยน้ำตาลตกแต่งพร้อมครีมชีส และในแต่ละเขตก็จะมีเบเกิลที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวพร้อมท็อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร

แซนด์วิช

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Matavee Lekkul (@mataveel)

รับประทานอาหารกลางวันกับเมนูแซนด์วิชพาสทรามี เนื้อวัวอบใส่เครื่องเทศ และคอร์นบีฟ เนื้อวัวฉีก ชิ้นโต ๆ ราดด้วยมัสตาร์ดรสเผ็ด โดยเมนูนี้พบได้ตามร้านอาหารส่วนใหญ่ในแมนฮัตตัน หรือจะไปถึงบรูคลินเพื่อเพลิดเพลินกับแซนด์วิชเนื้อย่าง แซนด์วิชสไตล์อิตาเลียน ที่โด่งดังจากซีรีส์เรื่อง Friends หรือพักจากเมนูเนื้อ มาลองแซนด์วิชมะเขือม่วงของบร็องซ์ แต่ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณจะพบกับแซนด์วิชแสนอร่อยในนิวยอร์กอย่างแน่นอน

ชีสเค้ก

แน่นอนว่าหากคุณเป็นสายขนมหวาน ไม่มีที่ไหนจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะคุณจะได้ดื่มด่ำกับนิวยอร์กชีสเค้ก เมนูดัง ชาวนิวยอร์กหลายคนยืนยันแล้วว่าชีสเค้กที่ดีที่สุดมีขายที่ร้าน Juniors ในบรูคลินที่นี่มีชีสเค้กหลากหลายรูปแบบ และไม่มีชาวนิวยอร์กคนไหนที่ไม่รักชีสเค้กของที่นี่ และยังมีร้านอื่น ๆ ในนิวยอร์กอีกมากมาย ที่มีเมนูของหวานอันเป็นสัญลักษณ์นี้ให้คุณได้ลอง

คารามารี

 

View this post on Instagram

 

A post shared by 15 BRIX JAPANESE RESTAURANT (@15brix)

ปลาหมึกชุปแป้งทอด คารามารี มีขายตามร้านพิชซ่าและร้านอาหารอิตาเลียนทั่วนิวยอร์ก คุณอาจคิดว่าเมนูคารามารีเหมือนกันทุกที่ แต่ถ้าคุณได้ไปที่เกาะสแตเทน เพื่อลองชิมเมนู Gamalah ปลาหมึกที่เคลือบด้วยซอสรสเปรี้ยวหวาน แต่ไม่ว่าจะกินแบบธรรมดาแบบเปล่า ๆ หรือจิ้มกับพริกไทยหรือซอส ก็อร่อยทั้งนั้น และแน่นอนว่าคุณจะได้เจอเมนูนี้ในร้านอาหารในนิวยอร์ก

นิวยอร์กเป็นเมืองที่สร้างฝันให้ใครหลายคน มีกิจกรรมให้ทำ มีสถานที่ท่องเที่ยว และมีเมนูอาหารให้ลิ้มลองมากมายไม่รู้จบ เมื่อคุณมีโอกาสได้มาที่นิวยอร์กแล้ว อย่าให้อะไรมารั้งคุณไว้ ออกไปนอกแมนฮัตตันเพื่อสัมผัสกับสิ่งที่เมืองอันยิ่งใหญ่นี้อยากจะนำเสนอให้กับคุณ เยี่ยมชมนิวยอร์กและใช้ชีวิตในเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ชมเว็บไซต์ KKday เพื่อวางแผนการเดินทาง พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษเพื่อทำให้วันหยุดของคุณในนิวยอร์กพิเศษยิ่งขึ้น