เพื่อนๆ คนไหนที่ชอบเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเหมือนเราบ้างคะ แฮ่! นอกจากอาหารและขนมที่อร่อยและสดสุดๆ และธรรมชาติสวยๆ สามารถเที่ยวได้ทุกฤดูแล้ว วัฒนธรรมของเค้าก็โดดเด่นและน่ารักมากๆ อีกด้วย

เมื่อนึกถึงประเทศญี่ปุ่น สิ่งแรกๆ ที่เรานึกถึงก็คือชุดประจำชาติสวยๆ อย่างกิโมโนนั้นเอง โดยชุดกิโมโนเนี่ยเค้าจะแตกต่างกับชุดยูกาตะนะคะ โดยจะแตกต่างกันคร่าวๆ ที่จุดต่างๆ ต่อไปนี้

  1. ปกเสื้อ ยูกาตะจะมีชั้นเดียวแต่กิโมโนจะมี 2 ชั้น (เพราะว่าใส่ชุด 2 ชั้น) ข้อนี้สำคัญมากค่ะ เพราะว่ามีคนโดนหลอกให้จ่ายราคากิโมโน แต่ได้ชุดยูกาตะเหมือนกันนะ
  2. ผ้าที่ใช้ ยูกาตะจะเป็นผ้าฝ้ายแต่กิโมโนจะเป็นผ้าไหม ซึ่งมีราคาแพงกว่าแน่นอน
  3. โอกาศที่ใส่ ยูกาตะมักจะใส่สำหรับเป็นชุดลำลอง ใส่ในฤดูร้อนและใส่เมื่อจะไปออนเซน ส่วนกิโมโนนั่นจะใส่ในช่วงพิธีสำคัญ แน่นอนว่ากิโมโนจะมีการใส่ที่ซับซ้อนกว่ามาก ราคาก็จะแพงกว่าเด้อ

เพราะฉะนั้น มาญี่ปุ่นทั้งที เราไม่พลาดมาลองใส่ชุดกิโมโนแน่นอน ลุย!

โดยครั้งนี้เราเลือกซื้อแพคเกจชุดกิโมโนจากประเทศไทยไปก่อนเพื่อความคล่องตัว มีโจทย์ว่าต้องเป็นร้านที่มีชุดให้เลือกหลากหลายแล้วก็ใกล้ๆ แนวรถไฟด้วยเพราะว่าถ้าเลือกใกล้วัด เดินเที่ยวได้ไม่ไกล ก็ต้องย้อนกลับมาคืนชุด มันเสียเวลา (แอบเรื่องมากมั้ยเนี่ย ฮ่าๆ) และเราก็เลยได้ร้านนี้มา ‘Hana Kimono Rental’ ซึ่งเราเช่าชุดผ่าน KKday นั่นเอง

ร้านจะอยู่ตรงสถานี Tokyo Metro ทางออก 4 เลย สะดวกม้ากมาก

ร้านนี้มีกฏอยู่นะ (ซึ่งเราว่าทุกร้านน่าจะมีกฏเหมือนกัน) คือหากคืนชุดเกิน 17.30 น. จะโดนปรับชั่วโมงละ 1,500 เยน

เย้ ถึงร้านแล้วจ๊า

พอถึงร้าน เราก็เอา Voucher ที่ได้รับเมลจากทาง Kkday ยื่นให้เค้าเลยค่ะ
อ้อ ลืมบอกไป เราเลือกแพคเกจแบบ Premium ราคาประมาณ 1700 บาท ซึ่งก็จะมีชุดกิโมโนให้เลือกทั้งราวตามนี้เลย
ส่วนแพคเกจอื่นๆ ก็จะมี Standard Plus Premium และ Furisode ราคาก็ตั้งแต่ประมาณ 1,200 บาทไปจนถึง 3,000 กว่าบาทเลยก็มี

สวยๆ เต็มไปหมด เลือกไม่ถูกเลย
เอาชุดนี้ละกัน

เอาละ หยิบๆ เลือกๆ ได้สักพัก เค้าก็จะพาเราไปยังห้องแต่งตัว แล้วพนักงานก็จะมาเอาของใช้ส่วนตัวเราเช่น เสื้อผ้า กระเป๋าที่ติดตัวมาและรองเท้าใส่กระเป๋าผ้าสีดำซึ่งจะติดแทคไว้ แต่ถ้าเราอยากจะถือติดตัวไปด้วย ก็ไม่ต้องฝากได้ค่ะ

เอาละ หยิบๆ เลือกๆ ได้สักพัก เค้าก็จะพาเราไปยังห้องแต่งตัว แล้วพนักงานก็จะมาเอาของใช้ส่วนตัวเราเช่น เสื้อผ้า กระเป๋าที่ติดตัวมาและรองเท้าใส่กระเป๋าผ้าสีดำซึ่งจะติดแทคไว้ แต่ถ้าเราอยากจะถือติดตัวไปด้วย ก็ไม่ต้องฝากได้ค่ะ

ยังค่ะ มีสีชมพูต่ออีกชั้น โดยจะเป็นชุดที่มีแขนแบบกิโมโนแล้วด้วยล่ะ ชักตื่นเต้นแล้วสิ

เมื่อถึงขั้นตอนการใส่กิโมโน ชุดกิโมโนตอนแรกนั้นจะยาวระพื้นเลยค่ะ แต่เค้าจะยกขึ้นมาให้พอดีตัวเรา และเอาส่วนที่เกินตรงกลางตัว ค่อยๆ ยัดเข้าไปในโอบิ เรียกได้ว่าเป็นการแต่งตัวที่พิถีพิถันมากจริงๆ ค่ะ โดยรวมเราว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีได้เลย แอบคิดว่าเป็นชุดที่ทำให้ตัวอุ่น เหมาะกับสภาพอากาศที่ญี่ปุ่นมากๆ

แล้วก็จะมีพนักงานอีกท่านมาถามว่าทำผมไหม ราคา 300 เยน แน่นอนว่าเรา say yes
เค้าก็จะมีทรงผมให้เลือก แต่ถ้ามีทรงที่ชอบจะเอามาให้เค้าดูก็ได้นะคะ รวมถึงเครื่องประดับบนผม ก็เลือกได้เหมือนกันนะ

พอออกมา เค้าก็จะให้เลือกรองเท้าเกี๊ยะและกระเป๋าผ้า เข้าชุดกันด้วย เรียกได้ว่าไม่ให้หลุดคอนเซปต์ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเลย

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วไปเที่ยววัดเซนโซจิกัน~!

แวะถ่ายรูปสะพานแดงที่เห็นสัญลักษณ์เบียร์อาซาฮีกันก่อนนะคะ อยู่ใกล้ๆ กับร้านเช่ากิโมโนเลยล่ะ พอเดินข้ามสะพานตรงไปเรื่อยๆ ก็ถึงวัดแล้ว

มาที่นี้แล้วก็อย่าลืมมาทานขนมปังเมลอน (ที่ไม่มีเมลอน) กันนะ อร่อยมากเลย โดยร้านจะอยู่ตรงข้ามกับวัด ลอคขวามือสุด เดินตรงไปเรื่อยๆ เลี้ยวขวาก็ถึงแล้วค่ะ

แถมๆ พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/fZziUzsPC7B2

ขอแวะทานไอศครีมก่อนนะคะ เหมือนว่าจะมีร้านแนวนี้เยอะแยะมากมายเลย เราเลยเลือกร้านที่เป็นทางผ่านและมีคนต่อคิวเยอะๆ ไว้ก่อนละกัน อร่อยดีค่ะ

สำหรับเรา การมาท่องเที่ยวที่โตเกียว แล้วก็ได้เดินทางมาพบเห็นสถานที่ที่เป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นอย่างวัดเซนโซจิ ถือว่าเป็น Mission complete เลยล่ะ แถมได้มาใส่ชุดกิโมโนถ่ายรูปน่ารักๆ ด้วย ที่สุดเลย แล้วก็ระหว่างทางก็มีนักท่องเที่ยวขอถ่ายรูปแล้วก็มีคนเดินมาถามด้วยว่าเช่าชุดร้านไหน คนญี่ปุ่นก็มีเข้ามาชมด้วยว่าคาวาอี้มากๆ (แอบยิ้มด้วยความดีใจ) ถือว่าเป็นความประทับใจของเราเลยล่ะ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่หาร้านเช่าชุดกิโมโนดีๆ ที่ย่านอาซะกุสะหรือโตเกียวอยู่นะ บ้ายบาย